โครงงาน IS

 โครงงาน IS

เรื่อง บัวลอยสามสีไส้กล้วย



กิตติกรรมประกาศ
            โครงงานบัวลอยสามสีไส้กล้วยกวนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะพัฒนาบัวลอยแบบดั้งเดิมคือแบบไม่มีไส้ให้มีรูปแบบที่แตกต่างและแปลกใหม่ขึ้น โดยการนำกล้วยน้ำว้ามาแปรรูปเป็นกล้วยกวนแล้วนำมาประยุกต์ทำเป็นไส้ของบัวลอยในการทำโครงงานครั้งนี้ขอขอบ คุณยายนงนุช เจเถื่อน ที่ช่วยให้คำปรึกษาในการทำโครงงานให้มีผลงานสำเร็จตามเนื้อหาโครงงานเรื่องบัวลอยสามสีไส้กล้วยกวนสำเร็จไปด้วยดีอนึ่งตลอดเวลาในการทำโครงงานบัวลอยสามสีไส้กล้วยกวน ระดับชั้น ม.4 ผู้ทำโครงงานได้รับคำปรึกษาชี้แนะจากคุณย่าสาย คณะผู้จัดทำขอขอบคุณทุกท่านที่ให้คำปรึกษาดังกล่าวไว้ ณ โอกาศนี้เป็นอย่างยิ่ง
บทคัดย่อ
            โครงงานเรื่องบัวลอยไส่กล้วยกวนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค้นคว้าบัวลอยสูตรใหม่ๆที่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน การทำบัวลอยไส้กล้วยกวนนั้นเรายังนำเอากล้วยกวนมาใช้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง เพราะกล้วยนั้นสามารถหาได้ง่ายในชุมชนจึงทำให้กล้วยมีราคาถูก จึงเกิดการล้นตลาดและกล้วยก็เน่าเสียไปด้วยและไม่ได้ใช้ประโยชน์ เราจึงคิดทำบัวลอยไส้กล้วยกวนนี้ขึ้นมา  การทำบัวลอยไส้กล้วยกวนเรามีการทดลองทำจนแน่ใจว่าสามารถรับประทานได้และสามารถนำออกจำหน่ายได้และบัวลอยไส้กล้วยกวนนี้ยังมีรสชาติที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบัวลอยไส้กล้วยกวน การทำบัวลอยไส้กล้วยกวนนี้ จะเป็นการชักชวนเยาวชนไทยให้หันมาสนใจขนมไทยมากขึ้นด้วย
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
บัวลอย  จัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมา ตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ วัตถุดิบการทำที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ที่ประณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ
บัวลอย จัดเป็นขนมไทยอย่างหนึ่ง กล่าวได้ว่ามีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกว่า คนไทยเรานั้นเป็นคนมีลักษณะนิสัยอย่างไรบ้าง เนื่องด้วย ขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์มี รสชาติ ที่แตกต่างกันออกไป แต่แฝงไปด้วยความละเมียดละไม ความวิจิตรบรรจง อยู่ในรูปลักษณ์ กลิ่น รสของขนมที่สำคัญ ขนมไทยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจเย็นรักสงบมีฝีมือเชิงศิลปะ ซึ่งขนมเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะใช้และทำด้วยแป้ง น้ำตาล มะพร้าว เป็นส่วนประกอบสำคัญ สามารถดัดแปลงเป็นขนมหลายชนิด หน้าตา แตกต่างกัน
ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ที่ประณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เช่น งานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำ พอสมควร
วัตถุประสงค์
ปัจจุบันคนไทยเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับกรทานขนมไทยน้อยลง  เนื่องจากคนไทยเราจะหันมาสนใจสุขภาพกันมาก และเริ่มบริโภคขนมหวานกันน้อยลง และหันไปทานขนมกรุบกรอบแทนและอาจเป็นไปได้ว่าขนมไทยเป็นขนมดั้งเดิมจึงได้รับการนิยมในการบริโภคน้อยลงทางผู้จัดทำจึงมีความคิดที่จะทำขนมไทย (บัวลอยสามสีไส้กล้วยกวน) ให้มีความแปลกใหม่ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา และสามารถค้นคว้าเกี่ยวกับสูตรวิธีการทำ ได้อย่างสะดวกขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ลงในWord press
หลายคนคงคิดว่าขนมไทยคงจะทำยากทานแล้วไขมันเยอะ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นขนมหวาน แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ทางผู้จัดทำจึงได้นำข้อมูลการทำลงใน Word press ในการเผยแพร่ให้ขนมไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นและมีวิธีการทำและสูตรขนมให้ผู้สนใจได้นำไปหัดทำต่อไป

ขอบเขตการศึกษา   

ศึกษาค้นคว้าจากเว็บต่างๆแหละคุณยายทั้งสอง

ระยะเวลาในการทำงาน 
15 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 20 กันยายน 2561

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.เพื่อสร้างรายได้
2.ได้ความรู้ที่แปลกใหม่
3.นำไปแปลรูปและส่งออกได้

                                                                              บทที่ 2

ใบเตย         

 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวลักษณะแตกกอเป็นพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเป็นข้อ ใบออกเป็นพุ่มบริเวณปลายยอด เมื่อโตจะมีรากค้ำจุนช่วยพยุงลำต้นไว้ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ลักษณะใบยาวเรียวคล้ายใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน เส้นกลางเว้าลึกเป็นแอ่ง ถ้าดูด้านท้องใบจะเห็นเป็นรูปคล้ายกระดูกงูเรือ ใบมีกลิ่นหอมส่วนที่ใช้  :  ใบ


สรรพคุณ 


• ใบสด

-  ตำพอกโรคผิวหนัง

 -  รักษาโรคหืด

-  น้ำใบเตย ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น 

 -  ใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแต่งสีขนม

วิธีและปริมาณที่ใช้ 

1. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะใช้ต้น 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ต้มกับน้ำดื่ม

2. ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ

ใช้ใบสดไม่จำกัดผสมในอาหาร ทำให้อาหารมีรสเย็นหอม  รับประทานแล้วทำให้หัวใจชุ่มชื่น หรือเอาใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

3. ใช้เป็นยาแก้เบาหวาน                                                                                                                   



                                                                     อัญชัญ

เป็นไม้เถา ลำต้นมีขนนุ่ม มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือแดงชัน (เชียงใหม่) และเอื้องชัน (เหนือ)[1] เมื่อคั้นออกมาจะได้เป็นสีฟ้า

  

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์



อัญชันเป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อน อายุสั้น ใช้ยอดเลื้อยพัน ลำต้นมีขนปกคลุม ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้ามยาว 6-12 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7ใบ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุม



ดอกสีขาว ฟ้า และม่วง ดอกออกเดี่ยว ๆ รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่ยาว 2.5-3.5 เซนติเมตรกลีบคลุมรูปกลม ปลายเว้าเป็นแอ่ง ตรงกลางมีสีเหลือง มีทั้งดอกซ้อนและดอกลา ดอกชั้นเดียวกลีบขั้นนอกมีขนาดใหญ่กลางกลีบสีเหลือง ส่วนกลีบชั้นในขนาดเล็กแต่ดอกซ้อนกลีบดอกมีขนาดเท่ากัน ซ้อนเวียนเป็นเกลียว ออกดอกเกือบตลอดปี ผลแห้งแตก เป็นฝักแบน กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร เมล็ดรูปไต สีดำ มี 5-10 เมล็ด



การกระจายพันธุ์อัญชันมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียเขตร้อน ก่อนจะถูกนำไป

แพร่พันธุ์ในแอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา



สรรพคุณ

•ดอก สกัดสีมาทำสีผสมอาหาร ช่วยปลูกผมทำให้ผมดำขึ้น

•เมล็ด เป็นยาระบาย

•ราก บำรุงตาแก้ตาฟาง ถูฟันแก้ปวดฟัน ตาแฉะ และปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ นำรากมาถูกับน้ำฝนใช้หยอดหูและหยอดตา

ขมิ้น

ชื่ออื่น :   ขมิ้นหัว,ขมิ้นแกง,ขมิ้นหยวก (เชียงใหม่) ขมิ้น (กลาง) หมิ้น,ขี้มิ้น (ภาคใต้) สะยอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ตา ยอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร)  สรรพคุณ : ใช้รับประทานเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปลอกเปลือกหรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวกแก่การรับประทาน ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการ ดังนี้ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ, ซี, อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกัน ทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็น  กล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปและสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็ฯเซลล์มะเร็ง ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการ  คลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลีกินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูอวัยวะ รับประทานเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์    มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ารับประทานขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่ขับไขมันในตับ กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กิน  ให้เป็นยา ต้องกินให้สนุกใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้เป็นบาง  ส่วน ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ ต้องปลอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นบดเป็นผง ต้องนำขมิ้นมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง เสร็จแล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึง  จะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นแห้ง ความร้อนไม่ควรเกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตอรอยด์ได้

บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
วัตถุดิบและอุปกรณ์
-แป้งข้าวเหนียว
-น้ำตาลทราย
-เกลือป่น
-กะทิ
-เครื่องปั่น
-น้ำเปล่า
-กะละมัง
-หม้อ
-จาน
-สีผสมอาหาร
-ผ้าขาวบาง
วิธีการทำกล้วยกวน
– นำกล้วยน้ำว้าสุกงอมปลอกเปือกแล้วปั่นให้ละเอียด
– เคี้ยวในกระทะที่ไฟอ่อนๆ
– ผสมกะทิและน้ำตาลลงไป
– คนตลอดประมาณ  1-2 ชั่วโมง จนเหนียวและมีสีน้ำตาลเข้ม
– ยกลงผึ่งไว้ให้เย็น
การปั้นแป้ง
– นำแป้งที่ผสมสีและสีมาปั้นเป็นรูปวงกลมแบนเล็ก
– นำกล้วยกวนที่ผึ่งไว้มาใส่ตรงกลางแป้ง
– ปั้นให้เป็นรูปวงกลมแล้ววางในจานแต่ละสี
การต้มบัวลอย
– นำหม้อตั้งไฟ เทน้ำเปล่าลงไปรอจนน้ำเดือด แล้วนำบัวลอยมาต้มทีละสี
– ตักพักไว้ในน้ำเปล่า ทำแบบนี้จนครบทุกสี
– ตั้งหม้อน้ำเปล่าอีกครั้ง รอจนน้ำเดือดจึงเทกะทิลงไป
– นำบัวลอยที่พักไว้มาต้มลงในหม้อเดียวกัน
-เมื่อใกล้สุกเต็มที่แล้ว ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วตามด้วยน้ำตาลทราย
– ยกหม้อลงพักไว้ รอให้เย็นเล็กน้อย
บทที่ 4 
ผลการดำเนินงาน
จากการศึกษาค้นคว้าได้เรียนรู้วิธีการทำขนมบัวลอยที่ถูกวิธีและได้บัวลอยสามสีที่อร่อยและแปลกใหม่
บทที่ 5
สรุปผลการดำเนินงาน       
 การทำโครงงานบัวลอยสามสีครั้งนี้ทำให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันสืบค้นหาข้อมูลและทำเป็นของหวานเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และนอกจากนี้ยังเป็นการศึกษาวิธีการทำ และลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
อภิปราย 
1. สามารถนำเอาโครงงานมาเป็นแบบอย่างในการศึกษาข้อมูลในการทำครั้งต่อไป
 2.ใช้ประโยชน์จากรูปเล่มโครงงานไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม 
3. นา ไปปรับใช้ในชีวติประจา วนัได้ 
4. ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ให้กับตนเองและครอบครัว 
5. สามารถนำไปประกอบอาชีพได้

ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน           
 ในการทำโครงงานเรื่องบัวลอยสามสีในครั้งนี้ ทำให้ได้รู้และศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาประยุกต์ใช้และ ได้รับประโยชน์ ดังนี้ 
1. รู้และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกวิธี 
2. ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆและนำมาจัดทำเป็นรูปเล่มโครงงาน เพื่อการศึกษาต่อไป 
3.นำไปประกอบการเรียนรู้ในวิชาที่เกี่ยวข้อง 
4.ได้เรียนรู้และฝึกทักษะการทำบวัลอยสองสี 
5.สามารถนำความรู้ในการศึกษาการทำบัวลอยสามสีไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ 
บรรณานุกรม
www.khontee.ac.th/images/pdf/5bualoi.pdf

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พื้นฐานวัฒนธรรมประเทศฝรั่งเศส

Cites